ปี 2555 ที่ผ่านมาตลาดไอทีไทยมียอดการเติบโตต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจาก "โน้ตบุ๊ก" ที่ถือเป็นขุมรายได้หลักของผู้ประกอบการชะลอตัวลง แต่ในปี 2556 คาดการณ์ว่าตลาดไอทีจะกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักอีกครั้ง
โดยผู้ผลิตและผู้ค้าไอที ต่างฝากความหวังไว้ที่โน้ตบุ๊ก ทัชสกรีน และไฮบริด ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ที่คาดว่าปี 2556 จะมีสินค้าหลั่งไหลเข้ามาในตลาดมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มราคาจะสดลงมา ขณะเดียวกันยังมองว่าสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน และแท็บเลตจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมี 3 จี เป็นตัวกระตุ้น และการเข้ามาของวินโดว์สโฟน 8 จะเป็นสีสัน และเพิ่มดีกรีการแข่งขันให้กับสมาร์ทโฟน และแท็บเลต
**3 จี-ไฮบริด-วินโดว์ส 8 ดันโน้ตบุ๊กโต
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะโน้ตบุ๊ก ปี 2556 จะกลับมาเติบโตอีกครั้งหนึ่ง โดยปัจจัยหลักจะมาจากการเกิดของ 3 จี นอกจากนี้ยังมองว่าเทคโนโลยีทัชสกรีน หรือ หน้าจอแบบสัมผัส และวินโดว์ส 8 รวมไปถึงรูปลักษณ์ของโน้ตบุ๊กที่ออกมาในปี 2556 ที่มีหลากหลาย สามารถใช้งานแบบไฮบริด สามารถเปลี่ยนการใช้งานเป็นทั้งโน้ตบุ๊ก และแท็บเลตได้ จะเป็นตัวผลักดันให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วขึ้น โดยประมาณไตรมาสแรกของปีนี้การแข่งขันของผู้ผลิต จะผลักดันมีโน้ตบุ๊กที่มีหน้าจอทัชสกรีน รองรับวินโดว์ส 8 ราคาประมาณ 15,000 บาท เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งจะทำให้มีผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก มีหน้าจอทัชสกรีน รองรับวินโดว์ส 8 ครอบคลุมตั้งแต่ตลาดล่างถึงบน ขณะเดียวกันก็จะเห็นผลิตภัณฑ์อัลตร้าบุ๊ก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานเป็นแท็บเลต หลากหลายรูปแบบเข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งด้านรูปลักษณ์ และดีไซน์ จะเป็นตัวผลักดันให้กลุ่มผู้ซื้อกลุ่มหนึ่งตัดสินใจซื้อโดยมองข้ามราคาสินค้า
ขณะเดียวกันในปี 2556 บริษัทจะก้าวเข้าสู่ตลาดแท็บเลตเต็มตัว โดยผู้ผลิตแท็บเลตแบรนด์ต่างนำผลิตภัณฑ์แท็บเลตที่ใช้หน่วยประมวลอินเทล ทั้งอะตอม และคอร์ไอ ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และวินโดว์ส ราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท และมากกว่า 1 หมื่นบาท ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าด้วยระบบนิเวศ หรืออีโคซิสเต็มส์ รวมไปถึงประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลอินเทล ที่รองรับการใช้งานแบบมัลติทัชกิ้ง และมีการประมวลผลที่รวดเร็วกว่า จะช่วยให้แท็บเลตที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทล มีส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าตลาดแท็บเลตปีหน้า จะมีตัวเลขซื้อขายประมาณ 3 ล้านเครื่อง จากเดิมปีนี้มีตัวเลขซื้อขายประมาณ 2 ล้านเครื่อง ส่วนตลาดสมาร์ทโฟน นั้นประมาณไตรมาสแรก ของปี 2556 จะมีผู้ผลิตอย่างน้อย 1 รายที่นำสมาร์ทโฟน ที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทลอะตอมเข้ามาทำตลาด
**ค้าปลีกไอทีเร่งขยายสาขา
ด้านนายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกไอที ภายใต้ชื่อ บานาน่าไอที, ไอสตูดิโอบายคอมเซเว่น , ไอบีท บายคอมเซเว่น , ยูสโตร์ บายคอมเซเว่น และ บานาน่า สตั๊ฟ กล่าวว่าแนวโน้มตลาดไอทีปี 2556 เติบโตขึ้นแน่นอน เนื่องจากอัตราการใช้ไอทีไทยยังไม่สูง โดยแท็บเลตและสมาร์ทโฟน ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง เนื่องจากการเปิดให้บริการ 3 จี ประมาณไตรมาส 2 ซึ่งในปี 2556 บริษัทจะเริ่มทำตลาดแท็บเลต และสมาร์ทโฟน อย่างจริงจังมากขึ้น ส่วนโน้ตบุ๊กยังคงเป็นสินค้าที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท ซึ่งในปี 2556 มองว่าหากราคาโน้ตบุ๊ก ทัชสกรีน ราคาลงมาเหลือ 15,000-20,000 บาท และโน้ตบุ๊ก ไฮบริด ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ลงมาเหลือประมาณ 20,000-25,000 บาท จะช่วยผลักดันให้ตลาดมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น ส่วนสินค้ากลุ่มแอปเปิล มีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสินค้าค่อนข้างจำกัด ซึ่งหากสินค้าเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่านี้
โดยปี 2556 บริษัททุ่มงบประมาณรวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็น 300 ล้านบาทในการขยายสาขา อีก 150 ล้านบาท สำหรับงบการทำตลาด และ 50 ล้านบาทเพื่อการรีโนเวตร้านบานาน่าไอที โดยการขยายสาขานั้นจะเพิ่มอีก 60 แห่ง จากเดิมมีสาขากว่า 200 แห่ง โดยการขยายสาขาปี 2556 จะแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 10 สาขาต่างจังหวัด 50 สาขา เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้เตรียมขยายการลงทุนเข้าไปในพม่า และลาว เพื่อรองรับกับเออีซี โดยในปี 2556 คาดว่าจะมีรายได้ราว 20,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35%
ส่วนนายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยร่วมค้าเดอะซิสเต็ม จำกัด กล่าวว่า "กระแสการเติบโตของอุปกรณ์ไอทีพกพา ไม่ว่าจะเป็นอัลตร้าบุ๊ก หรือแท็บเลตมีการเติบโตที่สูงมาก โดยปี 2556 คาดว่าธุรกิจโดยรวมของบริษัทจะเติบโตขึ้น 40% ซึ่งแท็บเลตจะมีการเติบโต 10 เท่า ขณะที่โน้ตบุ๊ก จะเติบโตราว 20% และชิ้นส่วนหรือคอมโพเนนต์ 10% นอกจากนี้ในปี 2556 จะขยายการทำตลาดสมาร์ทโฟนเพิ่มเติม โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโตขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้งาน การเรียนรู้ และความพร้อมของระบบสารสนเทศพื้นฐาน ซึ่งวันนี้ไม่ว่าจะเป็น ไว-ไฟ ไวร์เลส และ 3 จี สามารถรองรับการใช้งานทุกที่ ทุกเวลาได้ ผู้ใช้มีความต้องการใช้งานแท็บเลตที่จะตอบสนองความต้องการและข้อจำกัดด้านงบประมาณ
**ผู้ผลิตรุกหนักแท็บเลต
ด้านนายถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศ ส่วนธุรกิจไอที บริษัท โตชิบา (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่าทิศทางธุรกิจของส่วนธุรกิจไอทีของโตชิบา ปี 2556 จะมุ่งเน้นขยายตลาดคอมพิวเตอร์พกพาแบบแท็บเลตมากขึ้น เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดปี 2556 ที่ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ไม่ต่ำกว่า 50% เนื่องจากโครงการแท็บเลตเพื่อการศึกษาของรัฐบาล ขณะเดียวกันมองว่าปีหน้า 3 จี ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ ทั้งแท็บเลต และสมาร์ทโฟน มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยแท็บเลตที่ออกสู่ตลาดปี 2556 จะมีทั้งรุ่นที่ใช้ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และวินโดว์ส 8 ครอบคลุมตั้งแต่ขนาดหน้าจอ 7 - 10 นิ้ว รองรับไว-ไฟ และ 3 จี เข้ามาทำตลาด ซึ่งในปี 2556 ตั้งเป้าหมายการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์แท็บเลตเพิ่มขึ้นเป็น 5-10 เท่าตัว โดยมียอดขายเดือนละ 2,000 เครื่อง จากเดิมมียอดขายเดือนละ 300-500 เครื่อง
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กนั้นตลาดไตรมาสแรกปี 2556 จะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ แพลตฟอร์ม หรือรูปลักษณ์ใหม่ๆ ของโน้ตบุ๊ก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ที่ออกมาสู่ตลาด โดยเชื่อว่าจะมีโน้ตบุ๊กทัชสกรีน และไฮบริด โน้ตบุ๊ก ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นกว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แต่ต้องดูว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หันไปนิยมซื้อแท็บเลตได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยด้านราคาจะเป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นตลาดโน้ตบุ๊ก ทัชสกรีน และไฮบริด ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ให้เติบโตขึ้น โดยมองว่าประมาณไตรมาส 2 ปี 2556 จะเริ่มเห็นโน้ตบุ๊ก ทัชสกรีนและไฮบริด ลงมาเหลือ 15,000 บาท จากเดิมราคา 20,000-30,000 บาท เช่นเดียวกับ 3 จี ที่มีส่วนกระตุ้นให้ตลาดโน้ตบุ๊กเติบโตขึ้น โดยในปีหน้าบริษัทจะมีโน้ตบุ๊กรุ่นที่รองรับการใช้งานทัชกรีนและรุ่นที่เป็นลูกผสมไฮบริด รองรับการใช้งานวินโดวส์ 8 รวมไปถึงรุ่นที่รองรับการใช้งานกับซิม 3 จี เข้ามาเทำตลาด ซึ่งเชื่อว่าจะผลักดันให้เติบโตขึ้นราว 10-15%
นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และผู้จัดการทั่วไปภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจของเดลล์ในปี 2556 จะเน้นไปที่การนำตลาดแท็บเลตในองค์กรธุรกิจอย่างจริงจัง โดยมุ่งตอบโจทย์ของลูกค้าที่ต้องการรูปแบบการใช้งานที่มีความปลอดภัย และเข้ากับระบบเดิมได้ ซึ่งการใช้งานแท็บเลตขององค์กรนั้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ราว 3% คาดว่าปี 2556 จะเพิ่มเป็น 10% ซึ่งเดลล์ตั้งเป้าว่าสัดส่วนการจำหน่ายแท็บเลตในฝั่งของตลาดองค์กรจะอยู่ที่ 15%
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะโน้ตบุ๊ก ปี 2556 จะกลับมาเติบโตอีกครั้งหนึ่ง โดยปัจจัยหลักจะมาจากการเกิดของ 3 จี นอกจากนี้ยังมองว่าเทคโนโลยีทัชสกรีน หรือ หน้าจอแบบสัมผัส และวินโดว์ส 8 รวมไปถึงรูปลักษณ์ของโน้ตบุ๊กที่ออกมาในปี 2556 ที่มีหลากหลาย สามารถใช้งานแบบไฮบริด สามารถเปลี่ยนการใช้งานเป็นทั้งโน้ตบุ๊ก และแท็บเลตได้ จะเป็นตัวผลักดันให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วขึ้น โดยประมาณไตรมาสแรกของปีนี้การแข่งขันของผู้ผลิต จะผลักดันมีโน้ตบุ๊กที่มีหน้าจอทัชสกรีน รองรับวินโดว์ส 8 ราคาประมาณ 15,000 บาท เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งจะทำให้มีผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก มีหน้าจอทัชสกรีน รองรับวินโดว์ส 8 ครอบคลุมตั้งแต่ตลาดล่างถึงบน ขณะเดียวกันก็จะเห็นผลิตภัณฑ์อัลตร้าบุ๊ก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานเป็นแท็บเลต หลากหลายรูปแบบเข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งด้านรูปลักษณ์ และดีไซน์ จะเป็นตัวผลักดันให้กลุ่มผู้ซื้อกลุ่มหนึ่งตัดสินใจซื้อโดยมองข้ามราคาสินค้า
ขณะเดียวกันในปี 2556 บริษัทจะก้าวเข้าสู่ตลาดแท็บเลตเต็มตัว โดยผู้ผลิตแท็บเลตแบรนด์ต่างนำผลิตภัณฑ์แท็บเลตที่ใช้หน่วยประมวลอินเทล ทั้งอะตอม และคอร์ไอ ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และวินโดว์ส ราคาตั้งแต่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท และมากกว่า 1 หมื่นบาท ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าด้วยระบบนิเวศ หรืออีโคซิสเต็มส์ รวมไปถึงประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลอินเทล ที่รองรับการใช้งานแบบมัลติทัชกิ้ง และมีการประมวลผลที่รวดเร็วกว่า จะช่วยให้แท็บเลตที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทล มีส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าตลาดแท็บเลตปีหน้า จะมีตัวเลขซื้อขายประมาณ 3 ล้านเครื่อง จากเดิมปีนี้มีตัวเลขซื้อขายประมาณ 2 ล้านเครื่อง ส่วนตลาดสมาร์ทโฟน นั้นประมาณไตรมาสแรก ของปี 2556 จะมีผู้ผลิตอย่างน้อย 1 รายที่นำสมาร์ทโฟน ที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทลอะตอมเข้ามาทำตลาด
**ค้าปลีกไอทีเร่งขยายสาขา
ด้านนายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกไอที ภายใต้ชื่อ บานาน่าไอที, ไอสตูดิโอบายคอมเซเว่น , ไอบีท บายคอมเซเว่น , ยูสโตร์ บายคอมเซเว่น และ บานาน่า สตั๊ฟ กล่าวว่าแนวโน้มตลาดไอทีปี 2556 เติบโตขึ้นแน่นอน เนื่องจากอัตราการใช้ไอทีไทยยังไม่สูง โดยแท็บเลตและสมาร์ทโฟน ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง เนื่องจากการเปิดให้บริการ 3 จี ประมาณไตรมาส 2 ซึ่งในปี 2556 บริษัทจะเริ่มทำตลาดแท็บเลต และสมาร์ทโฟน อย่างจริงจังมากขึ้น ส่วนโน้ตบุ๊กยังคงเป็นสินค้าที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท ซึ่งในปี 2556 มองว่าหากราคาโน้ตบุ๊ก ทัชสกรีน ราคาลงมาเหลือ 15,000-20,000 บาท และโน้ตบุ๊ก ไฮบริด ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ลงมาเหลือประมาณ 20,000-25,000 บาท จะช่วยผลักดันให้ตลาดมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น ส่วนสินค้ากลุ่มแอปเปิล มีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสินค้าค่อนข้างจำกัด ซึ่งหากสินค้าเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่านี้
โดยปี 2556 บริษัททุ่มงบประมาณรวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็น 300 ล้านบาทในการขยายสาขา อีก 150 ล้านบาท สำหรับงบการทำตลาด และ 50 ล้านบาทเพื่อการรีโนเวตร้านบานาน่าไอที โดยการขยายสาขานั้นจะเพิ่มอีก 60 แห่ง จากเดิมมีสาขากว่า 200 แห่ง โดยการขยายสาขาปี 2556 จะแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 10 สาขาต่างจังหวัด 50 สาขา เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้เตรียมขยายการลงทุนเข้าไปในพม่า และลาว เพื่อรองรับกับเออีซี โดยในปี 2556 คาดว่าจะมีรายได้ราว 20,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35%
ส่วนนายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยร่วมค้าเดอะซิสเต็ม จำกัด กล่าวว่า "กระแสการเติบโตของอุปกรณ์ไอทีพกพา ไม่ว่าจะเป็นอัลตร้าบุ๊ก หรือแท็บเลตมีการเติบโตที่สูงมาก โดยปี 2556 คาดว่าธุรกิจโดยรวมของบริษัทจะเติบโตขึ้น 40% ซึ่งแท็บเลตจะมีการเติบโต 10 เท่า ขณะที่โน้ตบุ๊ก จะเติบโตราว 20% และชิ้นส่วนหรือคอมโพเนนต์ 10% นอกจากนี้ในปี 2556 จะขยายการทำตลาดสมาร์ทโฟนเพิ่มเติม โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโตขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้งาน การเรียนรู้ และความพร้อมของระบบสารสนเทศพื้นฐาน ซึ่งวันนี้ไม่ว่าจะเป็น ไว-ไฟ ไวร์เลส และ 3 จี สามารถรองรับการใช้งานทุกที่ ทุกเวลาได้ ผู้ใช้มีความต้องการใช้งานแท็บเลตที่จะตอบสนองความต้องการและข้อจำกัดด้านงบประมาณ
**ผู้ผลิตรุกหนักแท็บเลต
ด้านนายถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศ ส่วนธุรกิจไอที บริษัท โตชิบา (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่าทิศทางธุรกิจของส่วนธุรกิจไอทีของโตชิบา ปี 2556 จะมุ่งเน้นขยายตลาดคอมพิวเตอร์พกพาแบบแท็บเลตมากขึ้น เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดปี 2556 ที่ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ไม่ต่ำกว่า 50% เนื่องจากโครงการแท็บเลตเพื่อการศึกษาของรัฐบาล ขณะเดียวกันมองว่าปีหน้า 3 จี ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ ทั้งแท็บเลต และสมาร์ทโฟน มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยแท็บเลตที่ออกสู่ตลาดปี 2556 จะมีทั้งรุ่นที่ใช้ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และวินโดว์ส 8 ครอบคลุมตั้งแต่ขนาดหน้าจอ 7 - 10 นิ้ว รองรับไว-ไฟ และ 3 จี เข้ามาทำตลาด ซึ่งในปี 2556 ตั้งเป้าหมายการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์แท็บเลตเพิ่มขึ้นเป็น 5-10 เท่าตัว โดยมียอดขายเดือนละ 2,000 เครื่อง จากเดิมมียอดขายเดือนละ 300-500 เครื่อง
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กนั้นตลาดไตรมาสแรกปี 2556 จะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ แพลตฟอร์ม หรือรูปลักษณ์ใหม่ๆ ของโน้ตบุ๊ก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ที่ออกมาสู่ตลาด โดยเชื่อว่าจะมีโน้ตบุ๊กทัชสกรีน และไฮบริด โน้ตบุ๊ก ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นกว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แต่ต้องดูว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หันไปนิยมซื้อแท็บเลตได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยด้านราคาจะเป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นตลาดโน้ตบุ๊ก ทัชสกรีน และไฮบริด ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 ให้เติบโตขึ้น โดยมองว่าประมาณไตรมาส 2 ปี 2556 จะเริ่มเห็นโน้ตบุ๊ก ทัชสกรีนและไฮบริด ลงมาเหลือ 15,000 บาท จากเดิมราคา 20,000-30,000 บาท เช่นเดียวกับ 3 จี ที่มีส่วนกระตุ้นให้ตลาดโน้ตบุ๊กเติบโตขึ้น โดยในปีหน้าบริษัทจะมีโน้ตบุ๊กรุ่นที่รองรับการใช้งานทัชกรีนและรุ่นที่เป็นลูกผสมไฮบริด รองรับการใช้งานวินโดวส์ 8 รวมไปถึงรุ่นที่รองรับการใช้งานกับซิม 3 จี เข้ามาเทำตลาด ซึ่งเชื่อว่าจะผลักดันให้เติบโตขึ้นราว 10-15%
นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และผู้จัดการทั่วไปภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจของเดลล์ในปี 2556 จะเน้นไปที่การนำตลาดแท็บเลตในองค์กรธุรกิจอย่างจริงจัง โดยมุ่งตอบโจทย์ของลูกค้าที่ต้องการรูปแบบการใช้งานที่มีความปลอดภัย และเข้ากับระบบเดิมได้ ซึ่งการใช้งานแท็บเลตขององค์กรนั้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ราว 3% คาดว่าปี 2556 จะเพิ่มเป็น 10% ซึ่งเดลล์ตั้งเป้าว่าสัดส่วนการจำหน่ายแท็บเลตในฝั่งของตลาดองค์กรจะอยู่ที่ 15%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,806 วันที่ 3 - 5 มกราคม พ.ศ. 2556
Cr: www.thanonline.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น